........เรื่องอธิฐานนี่นะ วจีปณิธาน..........ความปรารถนาทางวาจา มโนปณิธาน...........ความปรารถนาทางใจ การปณิธาน.........ความปรารถนาทางกาย ความปณิธานปรารถนานี่ก็คือ ตัวยึด 3 อย่างรวมเข้ากัน มันพร้อมด้วยการกระทำ พร้อมด้วยการประพฤติปฏิบัติ พร้อมกันไปถึงที่มัน แต่ว่าความปรารถนา........อย่างโยมมานี่น่ะ จะมาวันหนองป่าพงวันนี้ จะมากราบพระอยู่ในที่นี้ นี่คือความปรารถนา วาจาพูดมา จิตก็มา กายก็มา นี่เรียกว่าทำปรารถนาแล้ว ก็ได้มาถึงในที่นี้นี่มาด้วยการอุปาทานยึดมั่นถือมั่น แต่ว่าการอุปาทานยึดมั่นถือมั่นอันนี้ไม่แน่นอนนะ ต่อไปคุณจะปรารถนามาทางวัดหนองป่าพงนี้ มันจะแหกไปทางโคราชก็ได้นะ เพราะมันมีเหตุขัดขวางอยู่คือเรื่องนี้มันยังไม่จบเข้าใจไหม ?.......ไม่จบเรื่องมัน ฉะนั้นคำปรารถนาอันนี้ ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันนะ ให้ปลงลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาดีกว่า อย่างโยมพรุ่งนี้จะไปกรุงเทพ ฯ นะ.......ชวนเพื่อนไปไปเด็ดขาดแน่นอนเลขรับรอง.........อย่าไปรับรองมันเลย ตอนกลางคืนมามันปวดท้อง ตอนเช้าไปไม่ได้ก็มี มันก็ต้องปลี่ยน มันเป็นอนิจจัง แม้ตั้งแต่ว่าพูดแล้วนี่.....อย่าไปรับรองมัน อนาคตยังมาไม่ถึง.....อย่าไปรับรองมันเลย ของรับรอบไม่ได้
แต่ท่านบอกว่า...ท่านหมายความยังงี้ ท่านบอกว่าบุคคลที่สำเร็จขั้นอนาคามีขึ้นไป.....ขั้นอนาคามีแล้ว ท่านอาจจะไม่ปรารถนาพูทธภูมิอีกแล้วก็ได้ ถ้าจะไปเสวยสุข.....
คนที่ปรารถนานี่น่ะ มันยังอยู่ในภพ เมื่อจบแล้ว.....ไอ้ความปรารถนานี่หายไป.....ไม่มี มันสักแต่ว่า มันไม่มีอะไรหรอก ไอ้ความปรารถนาอยากจะเป็นนั่นอยากจะเป็นนี่ มันปรารถนาอยู่ในภพทั้งนั้นแหละ มันต้องมหดการปรารถนาแล้ว
เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า บุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะกระทำอะไรก็แล้วแต่ ถึงที่สุดแห่งการกระทำหรือจะอุทิศส่วนกุศล หรือจะแผ่บารมีอะไรถึงแล้วแต่ จะไม่มีภพใดดีกว่ามนุษยชาติ
มันดับหมด ไปถึงที่จบของมันแล้ว
ถึงบอกว่าวิญญาณต่าง ๆ สมมตินะครับว่าท่านเหล่านั้น จะแผ่เมตตาก็ยังต้องอาศัยร่างมนุษย์เพียงแต่สมมตินะฮะ....หรือต้องผ่านมนุษย์ ตกลงสิ่งที่ดีที่สุดในการกระทำ ก็คือภพมนุษย์ดีที่สุด
ที่สุด.....ที่สุดในภพ
ครับ
(หัวเราะ).....ที่สุดอยู่ในภพนี้ ที่จะทำไม่ให้มีภพได้คือมนุษย์ ไม่ใช่ดีที่สุดคือภพของมนุษย์ ดีที่สุดคือภพมนุษย์ที่จะทำให้หมดภพได้ในภพอันนี้ ท่านจึงเรียกว่าดับ ถ้าหากเรียกว่า...มันดับแล้ว ทีนี้ก็ไม่มีปัญหา ดับ.....ก็จะเป็นยังไง ไอ้ความเห็นอย่างนี้มันไม่มี มันดับสิ้นอะไรทั้งหลายเหล่านี้มันไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เพราะฉะนั้น.....จึงบอกว่า.....ปัญหาที่จะเกิดไม่มี เราจะตามว่ามันดับไปที่ไหนนะ ไอ้เพราะเราเคยมีภพอยู่ มีอุปาทานอยู่ ถ้าว่าตัดอุปาทานแล้ว ท่านเทศน์ให้ฟังน่ะ ท่านให้ตัดอุปาทาน.....กับคนฟังที่ยังมีอุปทานอยู่ ก็สงสัยเรื่อยไป.....ไม่ไปจะไปอยู่ที่ไหนน้อ ท่านจึงว่าไอ้แสงไปในเทียนที่เราจุดขึ้นมาน่ะ มันก็ลุกมีแสง โหลงอยู่นะ เมื่อลมมันพัดมาปุ๊บ.....ไปแล้ว.....เปลวแห่งไฟนี้.....มันจะไปในทิศไหน ? เราตอบมันไม่ได้ทั้งนั้น.....มันดับ.....จุดนั้นพระอริยเจ้าชั้นบนท่านนิพพานท่านไปที่ไหน ?.....มันดับ ทำไมถึงจะรู้ได้.....ได้ความคิดว่า.....ทำไมถึงจะรู้ได้อันนี้ มันก็ไม่มีในที่นั้น มันมีแค่คนอยู่ในภพนี้ ถ้าท่านนิพานแล้ว ท่านจะไปที่ไหน ? ไอ้ความคิดในที่นั้น มันก็ไม่มีในบุคคลเช่นนั้น มันจะมีกับบุคคลที่ยังปรารถนาอยู่ในภพอันนี้ ถ้าถึงจุดนั้น ความปรารถนาอันนี้ไม่มี ท่านจะไปที่ไหน ? ..... มันดับ.....มันหมด หมดปัญหาที่จะพูด
และอีกอันหนึ่งที่ผมได้เรียน คำสอนของทางศาสนาคริสต์ มาตั้งหลายปีทีเดียว ปัญหาเขาว่าพระผู้เป็นเจ้าของเขานี่น่ะ เวลาสิ้นโลก.....โลกแตกดับไปแล้ว คือไฟล้างผลาญโลกอะไรก็แล้วแต่เถอะ เมื่อแตกดับสูญโลกไปแล้ว วิญญาณของบุคคลนะครับ ที่ถือศาสนาคริสต์ของเขา จะรวมตัวเป็นพวกเดียวกันนะครับ พวกนอกรีดหรือคนศาสนาอื่น จะแยกไปอีกพวกหนึ่ง อันนี้สำคัญมากนะครับ.....ท่านฟัง.....เขาว่าแยกไปอีกพวกหนึ่งไม่เกี่ยวกัน คนทำความดีในศาสนาคริสต์ขึ้นสวรรค์ คนทำความชั่วก็ตกนรกต่อไป.....อย่างนี้ แต่เขาข้ามไปว่า คนนอกรีตอยู่อีกพวกหนึ่ง ฉะนั้นสรุปผลก็หมายความว่า ในภพต่าง ๆ นะฮะ ก็ยังมีการแบ่งทำนองศาสนา เหมือนกับโถมนุษย์ถูกไหมครับ ?
มันก็มีแบ่งซิ.....มันภพนี่.....มันแยกกันไม่ได้
เปล่าครับ.....ผมไม่ได้หมายถึงภพของว่า.....สวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ ผมไม่ได้พูดถึงอย่างนั้น ผมพูดถึงว่าแบ่งเป็นศาสนา แต่ว่า.....ผู้ที่ทำความดีในศาสนานั้นที่เขานับถืออยู่ ก็อาจจะเป็นทางตรงไปถึงสวรรค์ชั้นของเขา อย่างนั้น เขาจะมีกี่ชั้นก็เรื่องของเขา แต่ผู้คนที่นับถือศาสนาเขา จะต้องไปของเขาจริงไหม ?
มันก็จริงน่ะแหละภพ.....มันเป็นภพ ถ้ามีภพมันก็มีชาติ ของเขาแท้ ๆ ละมันมีภพ
แต่เขาสมมติเขาต่างศาสนา.....สมมติอีกนะครับ สมมติว่าไปเจอกันที่ ๆ สมมตินะฮะ สวรรค์ชั้นที่ ๕ อีก คนตามศาสนาพุทธเรา ทำความดีขึ้นสวรรค์ชั้นที่ ๕ จะอยู่ภพเดียวกัน.....ถูก แต่จะแบ่งชั้นกันเหมือนโลกมนุษย์ ว่าเป็นชาตินั้นชาตินี้ไหม ?.....มีปัญหาอยู่จุดนี้
อะไรก็ช่างมันเถอะอันนี้ มันขึ้นสู่ความจริงทุกศาสนาน่ะ.....เข้าใจไหม ความจริงนี้น่ะ มันเป็นศาสนาทุกศาสนา ถึงแม้ศาสนาถือไปทางไหนก็ช่าง ความจริงมันตั้งมั่นอยู่อย่างนั้น
ครับ.....คือดีได้ดี.....ชั่วได้ชั่ว แน่นอนอยู่แล้ว
มันไม่วิ่งไปตามลัทธิ มันไม่วิ่งไปตามอะไรของมันทั้งนั้นแหละ ใครจะรู้มัน ไม่รู้มัน มันก็ตั้งของ มันอยู่อย่างนั้น แต่เราจะไปคว้าเอาชั้นใด มันก็ไปตามเรื่องของมัน ถ้าความจริงแล้วมันต้องจุดเดียวกันนี้ ถ้ายังมีความปรารถนาจะไปโน้นไปนี้ ก็คือคนที่อยากไปโน่นไปนี่ จิตตระหวัดไปมันก็เป็นภพอุปาทานเกิดขึ้นมาได้
แล้วท่านคิดว่า เป็นการถูกต้องไหม อย่างคัมภีร์โกร่าหรือโคกร่าอะไร ?
อันนั้นอาตมาไม่ได้อ่าน
คืออย่างนี้ดีกว่า มันเป็นไปได้ไหมว่า นี่สมมตินะครับ ไอ้ที่บอกว่าท่านท้าวมหาพรหม.....ว่ายังงี้ฮะ ท่านหลับ.....แล้วตื่นไป ก็ยังไงก็แล้วแต่ ผมไม่สนใจนะครับ สนใจคือหมายความว่า ก่อนที่ยังไม่มีสสารในโลกนี้หรือจักรวาลเลย หรือเอาในช่วงจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี่นั่ะ ถ้ามีการรวมตัวของพลังหรือจะเป็นรังสี จะเป็นอะไรก็แล้วแต่รวมตัวขึ้นมา เป็นจุดแรกที่คิดกันว่า เป็นพระพรหมกองค์ ใหญ่หรือยังไงก็แล้วแต่ แล้วงก็เกิดมีองค์อื่น ๆ ซึ่งเป็นการรวมตัวต่อมา แต่การรวมตัวอันหลัง เห็นองค์นี่ใหญ่กว่าหรือองค์ที่ขึ้นก่อนนี้ ท่านก็ไม่รู้ท่านมาจกไหน ก็อุปโลกน์ตัวเองว่าท่านน่ะเป็นผู้สร้างคนอื่น เพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหน ก็บอกว่าองค์นี้มาทีหลัง ก็ต้องเล็กกว่าท่าน องค์ที่มาทีหลังก็บอกว่า.....เออ.....ฉันนี่มาทีหลัง สงสัยไอ้นี่จะเป็นผู้สร้างฉันหรือเป็นนายของฉัน เพราะองค์นี้น่ะใหญ่กว่า อันนี้จะเป็นเรื่องเป็นไปได้ไหม ?
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเกิดมนุษย์ภพนี้ ก็ต้องมีอันอื่นมาก่อน.....
มันก็ต้องมีปัจจัย.....ไม่มีปัจจัยจะเกิดมาอะไร
ไม่ใช่ฮะ.....นี่พูดถึงยังไม่มีโลก นี่พูดพลิกกลับมาทางด้านของวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะทางวิทยาศาสตร์บอกว่า.....โลกนี่เหวี่ยงมาจากสุริยะใช่ไหมฮะ ?.....สุริยะนี่ก็เป็นในเครืองหนึ่งของจักรวาล และในจักรวาลก็มีอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ ตามที่เขาสันนิษฐานกัน แต่ถ้าดูคัมภีร์โคร่าหรือโคหร่านี่น่ะ เขาบอกว่า.....เป็นคัมภีร์ของพราหมณ์ดึกดำบรรพ์.....ว่าพระพรหมนี่เกิดมาจากอะไรก็แล้วแต่เขาไม่ได้บอก เพียงแต่บอกว่าเกิดมีพระพรหมมาอันเดียว แล้วพระพรหมก็สร้างอะไร ๆ ต่อมา แต่ถ้าผมมามองในด้านวิทยาศาสตร์นี้.....จะเป็นว่า.....อาจจะเป็นสสารหรือเป็นความรู้ ผมเรียกว่าเป็นความรู้ดีกว่า ความรู้เหล่านี้เป็นความฉลาดมาก รวมตัวขึ้นมาจนกระทั่งว่า คนที่มารวมกันทีหลัง ที่ละจุดๆ ขึ้นมานี่น่ะ.....สิ่งเหล่านี้.....จนเขาตั้งเป็นคัมภีร์ของพราหมณ์ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเทวดานะ เป็นโน่นเป็นนี่นะ เห็นโลกเกิดใหม่ เมื่อมากินง้วนดินก็เกิดมาเป็นคนอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งตรงกับว่า อำนาจจิตเหล่านั้นหรือความรู้เหล่านั้น เกิดมาอยู่ในห้วงการเหวี่ยงของแรงของโลกเรา หรืออาจจะปรารถนาลงมาได้จริง ๆ เมื่อลงมาในโลกมนุษย์นี้ เกิดมาถูกต้องเนื้อดิน หรือสสารของโลกนี้ก็เกิดการรวมตัว.....ขอเรียกว่าสสาร.....เป็นรูปร่างมนุษย์.....อาจจะเป็นมนุษย์ยังไงไม่รู้จัก แต่พัฒนาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เป็นไปได้ไหม ?
ถ้าโยมเห็นโลกมันอยู่ทางโน้น.....มันก็ลำบากว่ะ.....อาตมาไม่เห็นโลกไปอยู่ที่นั้นเลย.....ไม่เห็นโลกไปอยู่ที่นั่น
ถ้าอย่างนั้น ก่อนที่จะมีโลกมนุษย์ขึ้นมา อย่างที่ว่า.....จะเกิดร่างมนุษย์ขึ้นมานี่น่ะ จิตต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นก่อนไม่ใช่หรือ ถึงจะเป็นรูปร่างมนุษย์ เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า ในห้วงจักรวาลเรียกยังไงผมคิดไม่ถูก.....ว่า.....จักรวาลที่เวียนว่ายตายเกิดอันนี้นะฮะ ก็อาจจะมีสัตว์เล็ก ๆ หรือจะเป็นสัตว์โลกหรือสัตว์อะไรก็แล้วแต่ ที่เปลี่ยนสภาพจากเป็นมนุษย์มั่ง เป็นสัตว์เดรัจฉันมั่ง เป็นโน่น.....เป็นนี่ เปลี่ยนภพอยู่เรื่อย ๆ เพราะพิจารณาทางตามวิทยาศาสตร์ของเขาบอกว่า ไอ้เวียนว่ายตายเกิด.....ไม่จริงหรอก.....เขาว่ามีสัตว์แค่นี้ แต่เขายอมรับเดี๋ยวนี้ว่า ในห้วงจักรวาลหรือในห้วงมหาสมุทร มีสัตว์อีกกี่ล้าน.....กี่เท่าไหร่.....กี่โกฏิ.....กี่แสน.....เขาไม่รู้เขายอมรับแล้ว ฉะนั้นการเวียนว่ายตายเกิด ก็อาจจะเป็นไปได้ อันนี้ปัญหาที่สำคัญ ถ้ายกกลับมาอันนี้นะฮะ ถ้าตามลัทธิธิเบต ที่เขาบอกว่าเขาสามารถทั้งสมาธิจิต ถึงจุดที่สามารถแบ่งจิตตัวเองอันหนึ่ง.....อันที่สอบเกี่ยวกับการสร้างมโนภาพ และใช้พลังของมโนภาพนี้ ออกมาใช้ทำร้ายคนหรือช่วยอะไรก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้ก็คงสภาพอยู่ ไม่สูญหายไปไหน ซึ่งสมารถกล่าวว่าพระองค์นั้นหรือผู้สร้างนั้น.....คนนั้นตายไปแล้ว.....พระลามะองค์นั้นตายไปแล้ว ไอ้จิตที่สร้างใหม่อันนั้นก็ยังอยู่ สามารถรบกวนชาวบ้าน หรือทำอะไรขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นก็สามารถอย่างตรงที่ว่าคือจิตของเทวดานั้น.....ปฏิสนธิโดยการแยกตัวบ้าง โดยการ.....แบบมนุษย์บ้าง โดยการถูกต้องร่างกายบ้าง ก็เป็นความจริงสิว่า จิตต่าง ๆ เหล่านั้นสามารถสร้างขึ้นมาเองใหม่ โดยไม่เกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด ถูกไหม ?
อันนี้น่ะพูดอย่างนี้ดีกว่า.....ปัจจัย.....ถ้ามีปัจจัย ก็มีโลภอยู่เมื่อนั้น เมื่อโลกเกิดมา มันจะแยกอะไรก็ตามเรื่อง มันต้องมีปัจจัยต่อ ๆ เรื่อย ๆ ไป เรื่องปัจจัยนี้.....มันต้องมีปัจจัยที่เกิดขึ้นมาเป็นโลก นี่เแหละ.....เรื่องปัจจัยเป็นเหตุ จะมีอะไรก็ช่างมัน มันจะสีเขียว.....สีแดง.....สีดำ.....สีขาว.....ปัจจัยเป็นเหตุเกิดขึ้นมา เมื่อมีปัจจัยแล้ว มันก็มีโลกเกิดขึ้นมาได้ในที่นั้น เมื่อหมดเหตุหมดปัจจัย คือพระนิพานแล้ว.....คลำหาอะไรไม่ได้ หยุดพูดกันแล้ว เรื่องปัจจัยนี่มันเป็นได้ทุกชนิด.....ทุกอย่าง แต่มันเป็นของไม่แน่นอน.....ไม่เที่ยง อันนี้เป็นความเห็น ไอ้ชื่อพลังจิตชื่ออะไรต่าง ๆ ทั้งหลายนี่น่ะ เป็นคำกล่าวของมนุษย์ แล้วแต่ใครจะพูดไป.....แต่งไป.....อะไรไป.....เรื่องชื่อนี่.....เรื่องภาษานี่ก็ยังไม่พอเลยนะ
ครับ.....แยกลึกลงไปเรื่อย ๆ
นี้เกิดมาจากเหตุ จากปัจจัยทั้งนั้น พูดง่าย ๆ เช่น โยมจะถามอาตมาแต่ละข้อนี้ มันต้องมีปัจจัยจึงถามขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีปัจจัยถามขึ้นไม่ได้ นี้มันเกิดจากอะไร ? ปัจจัยอย่างนี้น่ะเราจะรวมซ๊ะรวมสิ่งทั้งหลาย ๆ ให้เป็นก้อนเดียวกัน.....เรียกว่าปัจจัย มันจะเป็นอะไร ๆ ก้ช่างมัน คือหลักเปรียบเทียบทุกสิ่งทุกอย่างนี้มันวน....อะไระก็ช่างมันเถอะ ส่วนที่พูดมานี้น่ะมันมีปัจจัยเป็นแตนเกิด ทำไมเราจะให้หมดปัจจัยได้ล่ะ จะได้หายหลงกันซ๊ะ.....จะได้ไม่ให้พูดกัน.....จะได้ไม่เถียงกัน อันนี้มันไม่จบนี่.....พอเราเห็นก็เรียกชื่อว่าอันนั้น
ครับ
มันเป็นเรื่องของภาษาในโลกนี้จบไม่ได้ แต่ว่าอย่างไรก็ตามมัน มันต้องเกิดกับปัจจัย พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า เมื่อปัจจัยมี.....ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดจากเหตุหรือปัจจัย อย่างเช่นว่าสิ่งสองสิ่งนี่น่ะ มันรวมกันอยู่แต่ไม่มีเสียงนะ ทำไมถึงไม่มีเสียง เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่กระทบกัน ต่อมาอีกถ้ามีเสียงกระทบ ทำไมมันจึงดัง เพราะมันกระทบกัน มันจึงดังขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ปัจจัยอันนี้แหละจะติดตามไป เมื่ออยู่ในภพอันนี้ ถ้ามีปัจจัย.....มันมีหมดทุกอย่าง มันมีอยู่แล้วจบไม่ได้ จะต้องมีปัจจัย ให้เราถือว่า มันมีเหตุมีปัจจัย นี่เรื่องอันหนึ่ง จะพรรณนาไป ไม่มีจบ มันมีเหตุมีปัจจัย คือพูดกับสิ่งที่มันเป็นวงกลมอย่างนี้.....เถียงกันไปเถอะ.....
ถ้าเราสามารถทำวงกลมอันนี้ให้เล็กลง ถ้าวงกลมเล็กมันก็ถึงจุด ๆ เดียว ไม่มีอะไรเหลือ
ใช่.....ไม่มี ๆ ๆ .....มันก็ขยายตัวออกไปจากวงกลมอันนี้.....มันก็จบ ถ้าเรามาวนอยู่นี่ มันก็มีปัจจัยที่จะไปคืออันต่อเนื่องกัน ปัจจัยที่ต่อเนื่องกันเหตุจบไม่ได้
เพราะฉะนั้น.....ผมมีครั้งหนึ่ง เมื่อผมตกอับขนาดหนัก แล้วผมก็ได้ความคิดขึ้นมา.....คนชี้ถึงรูปเรือลำหนึ่ง .....เรือใบกำลังฝ่าพายุคลื่นนะฮะ เขาดูแล้วก็เปรียบเสมือนมนุษย์เราน่ะ กำลังฝ่าพายุคลื่นอยู่ ก็กำลังรอเรือน้อยเล็ก ๆ ข้าง ๆ น่ะจะมาช่วยเขา ผมก็บอกว่ามันไม่ใช่หรอกได้เรือน้อยน่ะ.....มันสละเรือใหญ่ต่างหาก และในลมพายุคลื่นเหล่านั้นน่ะ ถ้าหากเรือลำน้อย ๆ จะมาหาเรือลำใหญ่ก็แปลว่าจะเพิ่มน้ำหนักและภาระให้เรือใหญ่จมเร็วขึ้นอีก เพราะฉะนั้นตัวผมไม่ได้อยู่ในธาตุอันนั้นผมอยู่นอกธาตุ ฉะนั้นผมไม่ต้องเดือดร้อนกับสิ่งเหล่านั้น คล้ายจะเปรียบตัวเองเหมือนคลื่น.....เหมือนเรือ ๆ ที่กำลังฝ่าพายุคลื่น อันนี้เป็นของเขา แต่ผมอยู่พ้นสิ่งเหล่านี้.....ในกรอบนี้.....ผมอยู่นอกกรอบ เพราะฉะนั้นผมก็คิดว่า ผมก็ได้ทำติดต่อมาเรื่อย ๆ แล้วปฏิญาณตนว่า อยู่นอกกรอบสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ อันนี้ผมคิดว่าคงไม่ผิดนะครับท่าน
ไม่ผิด.....ออกจากเรื่องทรงนี้มันมีเรื่อง.....ที่ไหนมีเรื่องตรงนั้นมีปัจจัย.....ถ้าปัจจัยตรงนั้นยุ่ง
แล้วจุดสำคัญของมนุษย์ ถ้าหากยังมีเวรกรรมอยู่ ก็ไม่สามารถละทิ้งความเป็นอยู่ ที่เป็นสังคมของมนุษย์ได้ ถูกไหมครับ ?
แม้แต่จะห่มผ้าเหลืองก็เถอะ ถ้าหากไม่ละทิ้งก็ยังอยู่ในเรื่องของสังคมมนุษย์อยู่ จนกว่าเราจะทิ้งออกไป แต่การทิ้งวิธีที่ง่ายที่สุด ก็ยังต้องอาศัยผ้าเหลือง เพราะจะทำให้ตัดขาดได้โดยชั่วคราว ในฐานะการแบ่งชั้นของมนุษย์ แต่ถ้าเราละทิ้ง อาจจะห่มผ้าเหลืองหรือไม่ก็แล้วแต่เราไปหาที่สงบ ๆ ของเรา หรือจะวางอุเบกขา อันนั้นก็สามารถที่จะละทิ้งต่อไปได้ง่ายเข้า แต่ก็ต้องถึงกับเวลาแบ่งอันนั้นใช่ไหมครับ ?
ใช่.....ได้พูดให้มันจบเรื่องง่าย ๆ เข้าไปอีกกว่านั้นนะ มันจะละไปได้เพราะอะไร ? .....เพราะมีความเห็นชอบ.....(หัวเราะ)
เจริญพรครับ
เอาไปดูนะ.....ที่พูดกันน่ะ เอาไว้พูดกัน เรื่องพูดกันนี้.....ให้เข้าใจเรื่องพูด พูดไปสู่จุดความจริงของมัน เรื่องที่พูกันมานี้ มันก็มาจบลงที่ว่า ไอ้ที่มันต่อค่ายก็คือปัจจัยเป็นเหตุ.....เป็นปัจจัยไอ้สิ่งที่มันจะจบก็คือจบปัจจัย...... เท่านี้แหละ เรื่องไม่มาก ถ้ามาพูดถึงเรื่องจนปัจจัยแล้วก็ไม่มีอะไรก็เข้าใจกันได้.....นี่มันเป็นอย่างนี้ เรื่องของมันเป็นยังงี้ แต่ว่ามันมาก.....ดี.....ไม่ได้ถือว่ารบกวนอะไรขอบคุณมากเหลือเกิน.....เอาให้หมดนะ.....วันหลังมาไม่หมด เอามาเทกะบะให้มันหมดก็ได้
(หัวเราะชอบใจ) ผมเรียนทางจิตวิทยามาพอสมควร แล้วก็ยังสงสัยอยู่ และก็มาประยุกต์กับทางด้านทางธรรมของเรา กับของที่ฝรั่งเขาอธิบาย
ไอ้ที่ฝรั่งมันมา มันจบจิตวิทยามาก็เยอะ แต่ว่ามันจบมาด้วยการจำ แต่เมื่อมันถูกอารมณ์ แหมมันทุกข์ เหลือเกินนี่ ฝรั่งที่จบจิตวิทยา.....(หัวเราะ)
ทุกข์มากครับ
นั่นแหละ
เพราะมันศึกษา.....แต่ไม่จบสิ้น
ใช่.....ถ้ามันจะจบ มันต้องพุทธศาสตร์ชี่ จิตศาสตร์นี่โอ๊ย.....ฝรั่งมันวิ่ง.....มันจบจิตศาสตร์มาทั้งนั้นมันเป็นบ้ากันอยู่ตรงนี้ มันเป็นทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ไว้วันหนึ่งนะที่พูดกับลูกศิษย์ ที่มันจบจิตศาสตร์มานี่เป็นทุกข์..... อยู่ด้วยกันหลาย ๆ คน นี่ไม่มีเวลาที่จะพูดมาก เดินบิณฑบาตนี่.....ดึงแขนออกไปหน้าไอ้คุณจบจิตวิทยา.....จิตศาสตร์ ผมว่าท่านนี่โง่.....ท่านเป็นทุกข์ไหมทุกวันนี้ จิตท่านเป็นทุกข์ไหม ?.....โอย.....ทุกข์มากครับ.....จบอะไร.....จิตศาสตร์นี่ จบอะไรกัน.....มันไม่จบ.....มัยยิ่งทุกข์นี่ ก็เธอไปเรียนความจำมาเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ความจริง ไม่เห็นความจริงมัน
ฉะนั้นผมจึงบอกว่า บางครั้งในโลกมนุษย์เรานี้.....ความจริงแพ้เหตุผล แต่บางครั้งไอ้เหตุผลก็แพ้ความจริง เพราะฉะนั้นทางที่ดี เอาทั้งเหตุและความจริง ให้มันอยู่ด้วยกัน และมันก็จะชนะทุกอย่าง แล้วก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เอายังงี้ซ๊ะดีกว่า ถ้าคุณอยู่ที่นี่ ถ้ามีเสียงมารบกวน คุณก็รู้ว่าเสียงมารบกวนคุณ คุณก็รำคาญนะ ที่นี้คุณจะไปอยู่ที่ไหน ที่เสียงจะไม่รบกวนคุณ ความรู้ที่เสียงมารบกวนคุฯนั้น ก้ให้มันรู้จักมีเสียมากระอบหูอยู่เสมอ คุณจะมีวามรู้ตรงนี้ ถ้าคุณจะหนีจากเสียงไปไม่ได้ศึกษาเสียงจะไม่มีความรู้ เมื่อถูกอารมณ์มากระทบจิตเมื่อไร ถูกเสียงมากระทบหูเมื่อไร คุณจะทุกข์อยู่ทุกเวลาคุ๖จะต้องหาความรู้เมื่องเสียงมากระทบหูของคุณนี้ ให้คุณรู้จักที่เสียงกระทบหูอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องหนีไปจากเสียง ให้เอาชนะมัน ให้รู้มันซิเมื่อเวลาเสียงมากระทบ อันนี้ควรเรียนตรงนี้ ไม่ควรหลบหนีไป แต่ถ้าหลบหนีไป ก็หลบหนีโดยทางที่ถูก หลบหนีไปเพื่อจะสร้างพลังขึ้นมาสู้มัน ไม่หลบหนีไปเพื่อความโง่.....คือจะหนีมันไปไม่ให้เสียงมารบกวนเรา
ครับ...ถูก
ที่เราหนีไปหาระยะอันหนึ่ง เรียกว่าที่สงบนี้ จะมาพิจารณาให้มันเกิดกำลัง จะได้รู้เรื่องว่าเสียงมารบกวนเรานี้ให้ได้ แล้วก็กลับมา
เราหนีเพื่อที่จะหาเหตุ ที่จะมาต่อสู้กับมันต่อไป
นั่นแหละ.....ไม่ใช่ว่าเราหนีนะ หนีแต่มีปัญญา ไม่ใช่หนีด้วยความโง่ เราจะมาเอาปัญญากับเสียงกระทบหูเราให้ได้ นี่แหละ.....อะไรทุกอย่าง เอาความรู้ในที่นี้ ทีนี้ข้อปฏิบัติอยู่ที่ไหน ? เราไปที่ไหนที่มันสงบดี คนเราก็ชอบ.....ว่าที่นั่นไม่จุ้นจ้าน ที่นั่นไม่มีเสียง ที่นั่นรูปมันน้อย อันนี้ก็จริง.....จริงของใคร จริงเพราะคนยังไม่ถึงที่สุดมัน จริงเรื่องของเด็ก ไม่ใช่จริงจองท่านผู้รู้ ถ้าจริงของท่านผู้รู้ ต้องกลับมารู้มันกับเสียง ให้รู้เรื่องของมัน กับรูป.....เสีย.....กลิ่น.....รส ให้รู้เรื่องตามเป็นจริงมัน ถ้ารู้เรื่องตามเป็นจริงมันแล้ว โยมจะได้หลบเสียงอยู่ทุกขณะเลยไม่ต้องหนีมัน เอาตรงนี้แหละ มันมีเหตุตรงนี้.....มันเกิดตรงนี้ มันจะดับตรงนี้ ที่ไหนสงสัยที่นั่นอย่าหนีไปเลย พูดตรงที่มันสงสัยนั่นแหละ คือความที่ไม่สงสัยนั้น มันทะลุที่สงสัยไปแล้ว มันก็เจอกันเท่านั้นแหละ..... ตรงนี้ไม่ใช่ว่าเราหนีมันไป เราอยู่ในป่าว่าสงบดี.....ไม่ใช่ความสงบอยู่ในป่า แต่สงบเพราะความเห็นถูกของเรา ถ้าเรามีความเห็นผิดอยู่ ให้ขุดอุโมงค์ลงไปเถอะมันเป็นเรื่องของอย่างนี้ อันนี้ถ้าเราพิจารณาจะเห็นชัดเจนเหลือเกิน ที่นี้ต่างคนต่างถือในที่นั้นต่างคนต่างถือมัน แต่เรามาพูด้วยความเห็นกันที่นี่.....ความจริงมันวางอยู่อย่างนี้ มันเฉยอยู่อย่างนี้นะ เราไม่เห็นความจริงมัน พูดกันไปก็ไม่ลงกัน
จริงครับ
ถ้ามาถูกความจริงอันเดียวกัน ก็ลงกันหมดเลย ไม่ต้องเถียง ศาสนาทุกศาสนานี้มันจะรวมกันอย่างนั้น เช่นว่า คนญวณ คนจีน คนฝรั่ง ให้ต้นน้ำร้อน ๆ มาเถอะ ให้เอามือมาจุ่มลงไป มันจะมีความรู้สึกเหมือน ๆ กัน.....มันคือความจริง แต่ว่าคำที่พูดว่าร้อนตามภาษาน่ะ มันจะต่างกัน แต่อาการของร้อนแน่ะมันจะเหมือนกันเลยทุกคน คือความจริงอันนี้น่ะเป็นภาษาที่ถูกต้อง ความจริงอันนี้ไม่หนีไปที่ตรงไหน
แต่ผมคิดว่า ในด้านทางสังคมมนุษย์ ผมก็คิดว่าหนีเฉพาะในด้านที่ว่า.....ตั้งหลักในที่ถูฏ เช่น หนีอะไรอย่างหนึ่ง เบื่อหน่ายชีวิตในการงาน ผมว่าตั้งหลักสู้กับมัน หนีไปจุดหนึ่ง ไม่ทำงานซ๊ะรอจนเรามีวิธีเอาชนะมันแล้วกลับมาทำใหม่ สำหรับในด้านปฏิบัติทางจิต ก็คิดว่าก็เป็นทางหนึ่งที่จะพยายามต่อไปเรื่อย ๆ แต่ต้องแบ่งเวลาให้ถูกต้องเหมือนกัน เพราะถ้ามัวแต่พูดไม่ได้ำมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถ้าพูดความจริงแล้วน่ะ เรื่องมันทุกข์น่ะแหละเรื่องเกิดประโยชน์ ให้เราเห็นง่าย ๆ เรื่องสุขน่ะมันคนหลับซ๊ะ ไม่ค่อยคิดอะไร.....มันนอน
เพราะฉะนั้นผมที่เคยทุกข์มานี่ ผมก็บอกว่าเมื่อผมค้นแล้ว ผมอยู่นอกรูปนี้ .....ผมอยู่นอกรูปแน่นอนเพราะฉะนั้นใครจะเป็นยังไง ผมก็อยู่นอกรุป เมื่อผมเอาชนะมันแล้ว และที่ผมหนีไปโน่นหนีไปนี่เพื่อจะทำใจให้สบาย เพื่อจะให้รู้ว่าผมจะเอาชนะมันได้ยังไง
อันนี้แหละเรื่องคิดถูก เรื่องความเห็นถูกต้อง ๆ เอาอย่างนั้น แต่เบื้องแรกมันก็ต้องหนีนะหนี บางคนบอกว่าให้มันเบื่อ.....แหม.....ผมเบื่อ คำที่ว่าเบื่อมีสองอย่าง เบื่ออย่างหนึ่งเกลียดมัน.....อยากหนีจากมัน.....ไม่อยากเห็นมัน นี่แหละยิ่งกิเลสใหญ่โตแล้วนี่ ถ้าเบื่ออย่างหนึ่ง.....ไม่รักมัน.....ไม่เกลียดมัน นี่.....ตรงนี้เบื่อ.....เบื่อตรงนี้ เบื่อไม่ทุกข์ไม่สุข.....สร่าง.....จิตมันสร่าง มันทอดอาลัย มันเป็นยังงี้ เช่นว่าเราทำอันนี้ขึ้นมา.....หม้อใบนี้เราซื้อมันมา มันสวย.....จะไม่ให้มันแตก อีกสองวันมาลูกมาทำแตก.....เมื่อมาแตก มันดีผิดความหมายเราใช่ไหม ?.....เอาทุกข์ก็ทุกข์ฃะ ซื้อใบใหม่มารักษาดี ๆ นะ อีกสามวันทำแตกอีกแล้ว.....แน่ะ.....แตกอยู่เรื่อย ๆ อย่างนี้ ก็เลยรำคาญ.......อื้อ.....เอ๊าช่างมันเถอะ มันแตกเรื่องของมันแตก มันก็เป็นยังงี้แหละ ใบที่ซื้อมานี่มันก็แตก ที่ยังไม่ซื้อมามันก็จะแตกอย่างนี้เหมือนกัน.....
มีสองอย่างคือซื้อให้มันแตกไปเรื่อย ๆ ถือเป็นเรื่องธรรมดา หรือไม่ก็ไม่ซื้อเสียเลยมีสองอย่าง
ให้มันสบาย.....สบายอยู่ที่ตรงนั้น.....(หัวเราะ) ก็เราไม่อยากให้มันแตก แต่มันแตกนี่.....มันก็สู้รบกันเท่านั้นแหละ ถ้าเราเห็นว่า เออ.....หม้อใบนี้มันแตกแล้ว เราซื้อมาจากตลาดถือมาแล้วมาต้มอยู่ก็ได้ แต่ว่าหม้อนี้มันแตกแล้ว เราก็ใช้หม้อแตกของเราไปเรื่อย ๆ เรารู้ว่ามันจะต้องแตกไม่วันนี้ก็วันหน้า ภาชนะดินข้างหน้ามันต้องแตก เมื่อมันแตกปั๊บเราก็สบายใจ.....ทำไม ? .....เพราะมันแตกก่อนแตกแล้ว อันนี้มันแตกทีหลัง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา นี่เราต้องทำไว้อย่างนี้เรียกว่ามันเท่าทันเหตุการณ์
เข้าใจครับ
ถ้าเราใช้หม้อดี.....น้ำตามันจะไหลออกนะ ดี..มีความรู้ดีขอบคุณหลาย ๆ .....เอ๊าสมุดเยี่ยมเซ็นต์ไว้ เอาชื่อไว้ในสมุดเยี่ยมนั่นเซ็นต์ไว้.....ฯลฯ